วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รอยสักก็ต้องการดูแล..!



เมื่อตกลงว่ามีศิลปะรอยสักบนเรือนร่างแล้ว ยังมีความสำคัญอีกอย่างที่ต้องมีการดูแลเอาใจใส่มันด้วยวิธีการดูแลรักษารอยสักใหม่ให้คงทนถาวรไปกับร่างกายคุณ คือ

  • ทิ้งผ้าพันแผลเอาไว้ก่อนสักระยะ รอยสักใหม่คือแผลสด อาจทำให้เกิดแบคทีเรียและติดเชื้อได้ง่าย หลังสักเสร็จควรทิ้งผ้าพันแผลหรือพลาสติกที่ช่างสักมาพันไว้สักระยะหนึ่ง แต่ไม่ควรนานเกินไป เพราะอาจทำให้แผลอบและเป็นอันตรายกัยรอยสัก ฉะนั้นรอยสักใหม่ไม่ควรมีพลาสติกหรือสิ่งห่อหุ้มใดๆ ปิดแผลเอาไว้เป็นเวลานาน กลับถึงบ้านก็ควรแกะออกทันที
  • การดูแลรักษา  เมื่อแกะพลาสติกหรือสิ่งที่หุ้มออกแล้ว ต้องทำความสะอาดแผลด้วยน้ำอุ่น และผลิตภัณฑ์ของเหลวที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียเบาๆ จากนั้นให้เอาผ้าขนหนูหรือกระดาษนุ่มๆ ตบเบาๆ เพื่อให้แห้งสนิท จากนั้นทายาที่จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น พยายามใส่เสื้อผ้าที่ถ่ายเทอากาศได้ดี ผิวจะได้แห้งไว
  • ผลิตภัณฑ์และโลชั่นพิเศษ  หลังจากนั้นยังต้องรักษาความสะอาดต่อไปเรื่อยๆ 3-5 วัน ด้วยโลชั่นที่ไม่ผสมน้ำหอม อย่างพวก Lubriderm หรือ Eucerin ก็ได้เพื่อให้ผิวนุ่ม
  • การทำความสะอาดร่างกาย  อาบน้ำได้แน่นอน แต่ควรทาวาสลีนเคลือบไว้ ซึ่งการอาบน้ำ ถ้ารอยสักถูกสบู่ก็ต้องรีบล้างออกโดยเร็ว ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่รอยสักต้องแช่อยู่ในน้ำนานๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์
  • การลอกหรือแผลตกสะเก็ด  เมื่อแผลจะตกสะเก็ดหรือมีการตกสะเก็ดมากเกินไป ไม่ต้องตกใจ หมั่นทายาและรักษาความสะอาด เดี๋ยวมันก็จะหลุดออกไปเอง เมื่อสะเก็ดออกจะเริ่มคัน อย่าเกาหรือลอกสะเก็ดออกเป็นอันขาด ให้ใช้วิธีตบแก้คัน
  • เลี่ยงจากแสงแดด  ต้องเลี่ยงการโดนแสงแดด เพราะมันจะทำให้รอยสักเลือน และยังทำให้ความคมชัดของรอยสักเลือนหายไปด้วย ถ้าจำเป็น ก่อนโดนแสงแดด ให้ใช้ครีมป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF30 เป็นอย่างน้อย
       หากทำได้ตามคำแนะนำ ก็จะไม่ร้าวรานใจไปกับการสูญเสียความงามของรอยสักที่อุตส่าห์ทนเจ็บหลายครั้ง
      บอกแล้ว.....รอยสักก็ต้องการดูแล!

=]

เตรียมตัว..

มาต่อกันด้วยขั้นตอนการเตรียมตัวในการสัก มีอะไรบ้าง?

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสัก ร่างกายนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ต้องพร้อม! ถ้าร่างกายไม่พร้อมอดนอนมาก พักผ่อนน้อย ยังไม่ได้ทานข้าวมา ไม่ดีแน่นอนจะทำให้ทนความเจ็บได้ไม่นาน เพราะงานบางต้องใช้เวลาในการสักหลายชั่วโมงเราอาจทนไม่ไหว เมื่อเราอดทนไม่ไหวก็จะทำให้ช่างบางคน ต้องรีบเร่งทำ เลยอาจจะทำให้ผลงานสักออกมาไม่ดีเท่าที่ควร สู้คนที่อดทนได้ดีไม่ได้คับ แต่ถ้าร่างกายพร้อมแล้ว ก็แนะนำให้ช่วยทำตัวให้นิ่ง ช่างจะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะจริงๆ ช่างสักก้ต้องการทำผลงานให้ออกมาให้ดีที่สุด ต้องใช้สมาธิสูง แต่ถ้าเราขยับตัวเคลื่อนไหวตัวเองบ่อยๆ จะทำให้ช่างทำงานยากขึ้น บางคนอาจจะอารมณ์เสียเลยก็ได้ แล้วงานของเราก็จะออกมาไม่ดี ดังนั้นไม่ควรมองข้ามเรื่องพวกนี้ ถ้าเราสักมานานแล้วอยากจะขอเวลาพัก สูบบุหรี่ หรือเข้าห้องน้ำบอกช่างได้ แต่ไม่ควรจะพักบ่อยๆและนานมากจนเกินไป เพราะจะทำให้คุณเจ็บและระบมมากขึ้นกว่าเก่า เพราะยิ่งใช้เวลานานมาก ร่างกายก็จะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆๆ อีกอย่างก็จะทำให้ช่างเสียสมาธิด้วย

คำถามที่พบมากคือถามว่าเจ็บไหม? อันนี้ต้องขอบอกเลยว่า เจ็บ! แต่เป็นความเจ็บที่ทนได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดที่เราสักด้วย ถ้าสักเล็กๆๆงานไม่ใหญ่มาก ก็ใช้เวลาในการสักน้อยด้วยก็จะไม่เจ็บมาก แต่ถ้างานใหญ่ๆมาก ก็ใช้เวลามากเช่นกัน ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้นด้วย แต่ก็ทนได้ คิดจะสักแล้ว ต้องไม่กลัวที่จะเจ็บ ถ้ายังกลัวอยู่ ให้เราใช้เหตุผลมองดูว่า ถ้ามันเจ็บมากๆ จริงๆๆจนทนไม่ไหว ทำไมคนอื่นถึงสักกันได้ อย่าลืมว่าเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นเราก็ต้องทำได้เหมือนกัน ผมมองว่ามันเป็นความตั้งใจมากกว่า คนที่รักชอบรอยสักจริงๆจะทนได้ดีกว่า คนที่คิดแค่อยากมีรอยสัก เหมือนคนอื่นคับ บางคนมาสักครั้งแรกพอสักเสร็จบอกว่า จะไม่สักอีกแล้ว เพราะว่าเจ็บ แต่คุณเชื่อมั้ยคับว่า เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ว่าคนที่มีรอยสักแล้วส่วนมากจะอยากสักอีก เรียกว่า ติดเข็ม ไม่ใช่เพราะชอบ ในความเจ็บปวด แต่เป็นเพราะว่า พอได้เห็นแบบงานที่ถูกใจ ก็อยากจะสักอีก หรือไม่ก็เห็นคนอื่นสัก ก็อยากสักอีก นั่นอาจเป็นเพราะว่า เราได้รับรู้แล้วว่า มันเจ็บแค่ไหน แต่มันเป็นความเจ็บที่เราตั้งใจ เราจึงทนได้

ถ้าทำไปแล้วก็ต้องยอมรับ ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

=] 

เริ่มต้นกับ รอยสักของเรา!

ก่อนหน้านี้ได้อัพบทความเครียดกันไปหลายบทความแล้ว มาถึงคราวนี้เรา เริ่มต้น ? รอยสักที่สักกันจริงๆสำหรับที่ตัดสินใจ จากการศึกษาข้อมูล แล้วพร้อมเริ่มต้นกับรอยสักของเราสักที

ขั้นตอนสำหรับตัวเราที่ส่งผลกับเรา ทำให้อยากมีรอยสัก คือ "ลายแบบ"ที่เราต้องการที่จะสัก
ลายแบบนั้น เราจะเลือกที่ร้าน ให้ช่างสักเป็นคนเขียนแบบให้ตามที่เราต้องการ ก็จะมีการสอบถามว่าต้องการงานสไตล์ไหน อยากให้ต้องการสื่อความหมายออกมายังไง ก็จะมีการวาด สเก็ตแบบ คร่าวๆกันให้ดู ในกระดาษ หรือถ้าเราพร้อมแล้ว ช่างก็จะวาดลงบนเราก่อน เริ่มลงมือ
หรือถ้าอีกแบบ คือ เรามีลายแบบของเราเอง อยากให้สักตามแบบของเรา หรือพูดคุยให้ช่างเพิ่มไอเดีย ตามสไตล์ที่เราต้องการ (**สไตล์ของรอยสัก ดูเพิ่มเติมได้จาก http://typetattooday.blogspot.com/2013/08/blog-post.html)

จากนั้นตัดสินใจกับลายแบบที่ได้แล้ว มาดูในเรื่องส่วนพื้นที่และขนาดที่ต้องการจะสักลงไป พื้นที่นั้นมีส่วนสัมพันธ์ต่อลายแบบที่จะสัก พื้นที่กับงานจะต้องเหมาะสมกัน งานถึงจะออกมาดี
บางคนสักแขนช่วงไหล่งานเล็กๆ แต่ช่วงไหล่ใหญ่มาก ก็ไม่สวย ดูไม่เหมาะสมแทนที่สักออกมาแล้วจะมาเสริมให้ดีขึ้น กับทำให้ด้อยลงเพราะขนาดงานกับพื้นที่ๆสักไม่เหมาะสมกัน ฉะนั้นก่อนสักต้องเลือกขนาดด้วย ขึ้นอยู่กับพื้นที่เราจะสัก พื้นที่ใหญ่ก็ต้องสักให้เหมาะสม จะได้ไม่มีปัญหาเวลามาต่องานเพิ่ม วางงานครั้งเดียวจะดีกว่าคับคราวนี้มาถึงเรื่องการสักในร่มผ้าหรือนอกร่มผ้า ถ้ายังไม่พร้อมที่จะสักนอกร่มผ้า ก็ไม่ควรสัก อาจมีผลกระทบกับงานที่ทำอยู่ หรืองานที่จะทำในอนาคต คือให้มองถึงเรื่องอนาคตด้วย แต่อยากให้คิดเยอะๆคับถ้าคิดจะทำนอกร่มผ้า ถามตัวเองก่อนว่า เรารับได้แค่ไหนกับ กับมุมมองของคนอื่น ถ้าเค้ามองเราในแง่ลบเรารับได้มั้ย อันนั้นเป็นสิทธิ์ของคนอื่น แต่จริงๆทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ดีชั่วไม่ใช่ที่งานสัก ถ้าเราคิดว่าเราคิดดีแล้วยอมรับได้

ร้านและช่าง เลือกร้านสักที่สะอาดปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ เข็ม สี และอุปกรณ์บางอย่าง ต้องใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ควรเลือกสักกับช่างสักที่มีประสบการณ์และถนัดในงานนั้นๆๆ จะดีกว่า "ผิวหนังมีค่ากว่ารอยสัก อย่าสักเพราะเห็นงานสักมีค่ากว่าผิวหนัง" อย่าสักเพียงเพราะว่า ราคาถูก หรือว่าเค้าสักให้ฟรีๆ ผิวหนังเรามีค่ามากกว่าคับ อย่าเอาไปแลกกับของฟรี ราคาถูก อันนี้ไม่คุ้มค่า ยอมจ่ายแพงกว่าอีกนิดหน่อยแต่ได้งานที่มีค่าพอเทียบได้กับผิวหนังของเราจะดีที่สุด อาจจะขอดูงานของช่างคนที่เราจะสักก่อน ไม่ใช่ดูงานของร้าน ต้องดูงานของช่างคนที่เราจะสักด้วย เพราะคุณจะต้องสักกับเค้า ถ้าทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็สักกันได้เลย





อ้างอิงข้อมูล : tattoojimmywong.com/index.php 
=]

สังคมไทยจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมีการสักเพิ่มมากขึ้น

เนื่องจากสังคมนั้นมีการเปิดกว้างในค่านิยมการสัก การสักไม่ใช่เรื่องต้องห้าม หรือ ผิดประเพณี
โดยส่วนตัวคิดว่า คงคิดว่า ไม่ทำให้ก่อเกิดอะไร การสักนั้นมันเป็นเรื่องของรสนิยมแต่ละคน ถ้าสักแล้วไม่ทำความเดือดร้อน กระทบผลเสียให้ใคร 

แต่ขึ้นอยู่กับว่าสังคมไทยในที่นี่ เป็นสังคมแบบไหนด้วย 
แล้วขึ้นอยู่กับว่ารอยสักนั้นสักด้วยวัตถุประสงค์แบบไหน
ในสังคมของต่างจังหวัดถ้าสักด้วยเหตุผลทางความเชื่อ ถ้าไม่ขัดกับความเชื่อของผู้ใหญ่ทางบ้าน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในสังคมนั้น เพราะการสักกับความเชื่อบางอย่างก็ผูกพันและมีมานานแล้ว 
แต่ถ้าพูดถึงเหตุผลด้านสักเพื่อความสวยงาม อันนี้สังคมเมืองกรุงน่าจะเปิดกว้างกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าผู้หญิงสักเพื่อความสวยงามในสังคมต่างจังหวัด อาจถูกตัดสินไปในทางที่ไม่สู้ดีได้ เนื่องเพราะขนบความเชื่อของคนต่างจังหวัดยังไม่ค่อยไว้วางใจวัฒนธรรมแบบนี้ของตะวันตก  แต่ในเมืองกรุงผู้หญิงสักเพื่อความสวยงามมีเยอะแยะมากจนอีกไม่นานก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว 
จริงๆแล้วมคิดว่าผู้หญิงสักเพื่อความสวยงามแล้วถูกหรือผิดน่าจะขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ในสังคมแบบไหนด้วยตัวรอยสักของมันเองคงไม่ได้ทำให้สังคมเราแย่ลงหรือดีขึ้น รอยสักไม่น่าจะเอาไปตัดสินคนๆนั้น 
บางคนสักว่ารักติ๋ม แต่ตอนนี้เขารักตุ๋มแล้ว แต่ยังไม่มีเงินไปลบรอยสัก เราก็ตัดสินว่าเขารักติ๋มไม่ได้อยู่ที่คนสักว่ามีเหตุผลแบบไหน คิดแบบไหน ส่วนตัวแล้วคิดว่าเราควรเคารพเรื่องส่วนตัวที่มีเหตุผลของเขา 
แต่สำคัญคืออยากให้ทำอะไรใส่ใจสังคมสักนิด ว่าความเหมาะสม ขอบเขตควรอยู่ตรงไหน เราไม่ได้อยู่คนเดียว สังคมที่ให้อะไรเราหลายอย่างก็ยังเป็นสังคมที่เราควรรับผิดชอบเพื่ออนาคตของสังคมเราต่อไป 

=]

ผู้หญิงกับค่านิยมการสัก

การมีรอยสัก นอกจากผู้ชายแล้ว ที่หลายคนยอมรับว่า ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายไปซะแล้ว แต่สำหรับผู้หญิงนั้น หลายคนคงคิดไม่ออกว่า ผู้หญิงมีรอยสักแล้วจะเป็นยังไง แต่ปัจจุบันก็มีผู้หญิงที่ชื่นชอบรอยสักเป็นจำนวนไม่น้อยเลย แน่นอนว่าอาจสักเพราะความเชื่อ ความศรัทธา สักเพราะชื่นชอบในความเป็นศิลป์ แฟชั่น ความสวยงาม (หมายถึงพวกที่สักคิ้ว ชั่วคราวหรือ ถาวร) เป็นต้น ซึ่งเหตุผลอาจจะคล้ายคลึงกับเหตุผลทั่วไป
สำหรับมุมมองบางคนนั้น อาจจะมองเป็นเรื่องที่ตัดสินผู้นั้นว่า ไม่ดี ไม่ยอมรับ ไม่เหมาะสมกับผู้หญิง ซึ่งสามารถตีความคิดได้ว่า ผู้หญิงอาจจะไม่เหมาะกับเรื่องราวอะไรทำนองนี้ ผู้หญิงมีผิวพรรณที่สวยงามอยู่แล้ว ผู้หญิงที่ดีไม่ควรมีรอยสัก มันทำให้ดูเป็นคนไม่ดี (จะให้เรียกง่ายๆว่า ใจแตก กลัวจะไม่สุภาพ) ดูแก่นซ่า ดูเป็นคนไม่เรียบร้อย และอาจจะเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับก็ได้
ปัจจุบัน มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงค่านิยม การทีรอยสักของผู้หญิงก็คงลดหย่อนลงได้บ้าง ถ้าหากคนนั้นอยากมีรอยสัก เล็กๆ พอประมาณ แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคลที่ชอบงานศิลปะบนร่างกาย ถ้าหากมีรอยสัก ลวดลายมากเกินไป สุดท้ายยังไงก็เป็นเรื่องที่สังคมยังไม่สนับสนุนอยู่ดี

เพราะฉะนั้น จะทำการอะไรควรคิดไตร่ตรองให้ดี ถ้าทำไปแล้วก็ต้องยอมรับ ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต



  ป.ล. อย่าสักโหด เหมือนเจ๊คนนี้นะ
         เจอกัน บทความหน้า! =]

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การสักความเชื่อหรือค่านิยม และสิ่งที่ตามมาหลังจากการสัก (2)


มาต่อกันอีกสักนิด กับ บทความที่แล้ว การสักความเชื่อหรือค่านิยม และสิ่งที่ตามมาหลังจากการสัก คราวนี้มาดู สกุ๊ปข่าว มุมมองของต่างประเทศว่า เป็นยังไงบ้าง เกี่ยวกับรอยสัก ซึ่งเจ้าของบล็อกขออนุญาติคัดเนื้อหาบางส่วนมาให้ลองอ่านแล้วมาคิดตามกัน

ด้วยหัวข้อที่ว่า "หนุ่มสาวเอย ! จะบอกให้ คิดให้ดี ก่อนที่จะมีรอยสัก" 

"ค่านิยมการสักบนร่างกายกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในเหล่าบรรดานักร้อง นักแสดง และนักกีฬา กระแสความนิยมการสักลามไปถึงเหล่าวัยรุ่น เพราะได้รับอิทธิพลมาจากดารา นักร้อง นักแสดง หรือนักกีฬาดังๆ จากอเมริกา ยุโรป การสักสร้างความปวดหัวใจให้กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง-ไม่เว้นแม้กระทั่งประธานาธิบดีสหรัฐ คนปัจจุบันประธานาธิบดี บารัค โอบามา ให้สัมภาษณ์รายการทูเดย์ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีเมื่อวันพุธสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าถ้าหากลูกสาววัยรุ่นทั้งสองคนของเขาคือมาเลียวัย14 ปีและซาช่าอายุ 12 ปี มีความคิดที่จะสักขึ้นมา เขากับมิเชลก็จะตามไปสักให้เหมือนกับลูกสาวทุกอย่าง พร้อมทั้งจะโพสต์ลงยูทูบด้วย" "ส่วนพ่อคนดังอีกคนที่มีไอเดียแหวกแนวในการป้องกันไม่ให้ลูกๆ คิดมีรอยสักก็คือ มาร์ก วอลล์เบิร์ก ดาราดังที่อดีตเคยเป็นวัยรุ่นเกเรที่เข้ารับการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ที่เจ้าตัวเองไม่แน่ใจว่ามีอยู่ 6 หรือ 7 แห่ง 
มาร์กพาลูกสาวและลูกชายคนโตเข้าไปดูด้วยเพื่อจะได้รู้พิษสงเวลาลบรอยสักออกว่ามันสุดแสนทรมานขนาดไหน"
จากที่คัดมานั้น คนดังทั้งสอง เล็งเห็นว่า การสักในปัจจุบันมันเป็นที่นิยมอย่างมาก ยิ่งเห็นได้จากบุคคลที่วัยรุ่นชื่นชอบ นักร้อง นักแสดง นักกีฬา จึงทำให้มีกระแสความนิยมในการสัก มีอิทธิพลอย่างมากในหมู่วัยรุ่น จึงออกมาแสดงให้ลูกๆเห็นว่า การสักไม่เรื่องแฟชั่นนะ ไม่ใช่ตัดสินใจได้ภายในเดี๋ยวนั้น อยากให้คิดถึงผลระยะยาวของการมีรอยสักนั้น ในอนาคต

"แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นแฟชั่นในหมู่เด็กวัยรุ่น เพราะแสดงให้เห็นถึงความเท่ ความโก้เก๋ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพ่อแม่ไปซะทุกเรื่อง เพราะคนดังในวงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมากมายก็ล้วนแต่สักกันทั้งนั้น
นักกีฬาหลายคนบอกว่ารอยสักเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเวลาลงแข่งขัน อย่างเช่นนักกีฬาโอลิมปิกนิยมสักรูปห่วง 5 ห่วง สัญลักษณ์ของโอลิมปิก นักบาสเกตบอลนิยมสักหน้าลูกๆ ของตัว บทคำสอนศาสนา หรือคำคมในการดำเนินชีวิต" 


"นักบาสเกตบอลดังๆ ในเอ็นบีเอถือเป็นกลุ่มนักกีฬาที่นิยมการสักมากกว่านักกีฬาประเภทอื่น ความฮิตเรื่องการสักนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 1990
กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของนักบาสเกตบอลเอ็นบีเอ ผ่านการสักมาทั้งนั้น 
ทีมไมอามี่ ฮีต ซึ่งกำลังแข่งขัน NBA เพลย์ออฟอยู่ตอนนี้ นักบาสเกตบอล 11 คน จาก 15 คน สักมาแล้วทั้งสิ้น
แต่นักบาสเกตบอลดังๆ ที่ไม่นิยมชมชอบการสักก็มี เช่น ดเวน เวด ดไวต์ ฮาวเวิร์ด คริส พอล สตีฟ แนช เดิร์ก โนวิตสกี้ เรย์ อัลเลน แกร๊นต์ ฮิลล์ และ เจเรมี่ หลิน (หรือถ้าหากแอบมีก็คงมีในร่มผ้าซึ่งไม่มีใครเคยได้เห็น)
ดเวน เวด การ์ดของ ไมอามี่ ฮีต ไม่ยอมสัก ทั้งๆ ที่ เลอบรอน เจมส์ เพื่อนรักของเขามีสักเต็มตัว 
ดเวนบอกถึงสาเหตุที่ห้ามใจตัวเองไม่ยอมสักเหมือนเพื่อนรักและเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ว่าตั้งแต่เป็นเด็กพ่อแม่สั่งสอนมาตลอดว่าห้ามสัก ห้ามเจาะหู แต่พอเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 1 เขาบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่จะแหกกฎของพ่อแม่เพราะตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น ดเวนจึงเริ่มด้วยการเจาะหู และตั้งใจว่าจะตามมาด้วยการสัก 
เขาเดินเข้าไปในร้านสัก แต่พอเข้าร้านสักปุ๊บ ดเวนตัดสินใจเดินออกเดี๋ยวนั้นทันที เพราะได้คิดว่าการที่ตัวเองอยากจะมีรอยสักอย่างคนอื่นเพียงเพื่อต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าเขาเองเป็นผู้ใหญ่แล้วมันเป็นเหตุผลที่น้อยเกินไป  พอคิดได้อย่างนี้ดเวนก็รู้สึกว่าการสักไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ

นักบาสเกตบอลคนอื่นๆใน NBA ที่ไม่ยอมสักแม้จะถูกเพื่อนๆ ในทีมที่สักแล้วทั้งกดดันและคะยั้นคะยอว่าควรจะสักได้แล้ว ต่างก็มีเหตุผลที่ไม่ยอมสัก เช่น ต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ไม่อยากให้ลูกโตขึ้นแล้วอยากมีรอยสักตามพ่อ" 


จากที่ได้อ่านมาถ้าลองมาคิดดูแล้ว การที่ตัดสินใจที่ไม่สัก ถึงจะถูกกดดันก็ตาม เนื่องด้วย ต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก หรือ ไม่อยากให้มีรอยสักตามเขา เป็นเหตุผลที่ดี ทั้งนี้แล้ว เมื่ออายุมากขึ้น เราอาจจะต้องเสียทั้งเวลาและเงิน แถมเจ็บตัวในการลบรอยสักที่เราไม่คิดอยากจะมีแล้วเมื่อสาย

หลังจากที่ได้อ่านสกุ๊ปข่าวนี้แล้ว ทั้งไทยและต่างประเทศต่างก็มีความคิดที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ในค่านิยมในการสัก เนื่องด้วยการสักนั้น ถึงแม้ปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่การสักแฟชั่นนั้นเป็นอิทธิพลที่น่าเป็นห่วง เนื่องด้วยอาจจะตัดสินใจแบบพลั้งเผลอ แต่เมื่อไม่อยากมีมันก็สายไปเสียแล้วล่ะ 

Thank for Credit : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1368349626&grpid=01&catid=01

การสักความเชื่อหรือค่านิยม และสิ่งที่ตามมาหลังจากการสัก

ครั้งนี้ที่แล้วเราได้ทำความรู้จักกับการสัก ประเภทของรอยสักกันแล้ว ครั้งนี้มาพูดถึงเรื่องค่านิยมของรอยสักกันดีกว่า ซึ่งเป็นต้องทำความเข้าใจกันยาวเลย เราควรจะศึกษา คิด ตระหนักให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไปบนผิวของร่างกาย
พูดถึงการสักสมัยนี้อาจจะดูเป็นแฟชั่นเป็นการแสดงออกที่สื่อให้เห็นออกมาจากทางผิวหนังของร่างกาย แต่เราๆเคยคิดไหมว่ามันจะติดอยู่กับตัวเราไปตลอดชีวิต เกือบ100%คนที่เห็นรอยสักมักจะถูกมองดูแงลบมากกว่าแง่ดี โดยเฉพาะคนที่สักทั้งตัวอาจจะถูกมองว่าเคยถูกต้องโทษติดอยู่ในเรือนจำมาก่อนบ้างครั้งสังคมของไทยเราบ้างครั้งยังไม่เปิดกว้างสำหรับเรื่องการสัก ไม่เหมือนกับต่างชาติที่มองดูเป็นเรื่องของศิลปะ แต่การสักมีควบคู่กับคนไทยมาช้านาน ซึ่งมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ แต่สมัยนั้นจะเป็นการสักเกี่ยวกับด้านคงกระพันชาตรี เพราะสมัยนั้นยังมีศึกสงคราม ที่ต้องการเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ความเชื่อในด้านต่างๆ ที่ว่าฟันแล้วไม่เข้า ทำให้มีพละกำลังมากขึ้น คุ้มครองตนในตอนสู้รบ
สำหรับการสักในประเทศไทยเรานั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1.การสักยันต์อักขระ 2.การสักแฟชั่นทั่วไป 
ซึ่งการสักยันต์อักขระจะเป็นการสักเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าจะทำให้อยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาด ซึ่งรูปแบบการสักจะแตกต่างกันไปตามแต่อักขระยันต์แต่ละชนิด สำหรับการสักชนิดนี้จะมีข้อห้ามต่างๆมากมายเช่น ห้ามกินฟัก ห้ามด่าบิดามารดาเป็นต้น การสักยันต์ประเภทนี้อาจารย์ที่ทำการสักจะเสกคถาลงไประหว่างการสักด้วย จึงทำให้ผู้ที่ถูกสักต้องรักษากฎไว้อย่างเคร่งครัด สำหรับการสักทั่วไปที่ไม่ใช่การสักลงยันต์อักขระส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นที่ยังคึกคนองเห็นเพื่อนสักได้ตัวเองก็ต้องทำให้ได้เหมือนเพื่อนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆมากกว่าที่จะมองเป็นแฟชั่น จะบอกว่าสักได้มากเท่าไรเพื่อนยิ่งยอมรับมากขึ้น ยิ่งดูเท่ เพราะแสดงให้เห็นถึงความกล้าละความอดทนเนื่องจากการสักก็เหมือนกับการที่เราเอามีดมากรีดที่เนื้อตัวเราเป็นเวลานานๆ บอกได้เลยว่าเจ็บจริง แต่ผลที่ตามมาระยะยาวคือเราจะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากคนโดยทั่วไป อย่างเช่น ดูน่ากลัว ดูเป็นคนไม่น่าไว้ใจ (ต้องการหมายถึง ประมาณว่า โหดๆ เถื่อนๆ ทำนองนี้) และหางานทำได้ยากจากประสบการณ์ที่เคยทราบถามจากหัวหน้ารับสมัครเอง(คุณแม่ และคุณน้า เจ้าของบล็อกเอง ที่ทำหน้าทีในการงานการรับสมัคร) จากเจ้าของบริษัทบางแห่ง โดนเฉพาะหน่วยงาน จำพวกข้าราชการ ซึ่งไปสมัครงาน ก่อนสัมภาษงานเขาจะให้ถอดเสื้อเพื่อตรวจดูว่าที่ร่างกายมีรอยสักหรือไม่ จึงเป็นเรื่องลำบากสำหรับคนที่สัก ซึ่งถ้าให้ไปคนที่เคยสักว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ บอกได้เลยว่าไม่อยากสัก 
แต่ถ้าถามว่า เอ๋! ทำไมบางคนที่มีรอยสัก ยังได้รับเข้าทำงานเลย โดยส่วนตัวเจ้าบล็อกคิดว่า อาจจะขึ้นอยู่กับสายงานที่เขาคนนั้น ทำงานอยู่ด้วย อย่างพวกงานด้านนิเทศ งานด้านสายศิลป์ คงไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่พวกทำด้านออฟฟิศ บริษัท (ยกเว้นพวกที่ต้องออกไปพบปะลูกค้านะ มิได้เป็นอันขาด) อาจจะอนุโลมให้ แต่ต้องแต่งกายปกปิดในส่วนของรอยสัก เพื่อความสุภาพ เป็นระเบียบในองค์กร ถ้ากล่าวกันตามตรงคืองานพวกออฟฟิศ บริษัท มีโอกาสน้อยทางเลือกจำกัดต่อผู้ที่มีรอยสัก ทั้งนี้อาจจะพบผู้ที่มีรอยสัก มาทำอาชีพอิสระกันซะส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ ข้อจำกัดอะไรมาก 



สุดท้ายนี้ จึงอยากฝากให้คิดไว้ว่า "ก่อนจะทำการสักอะไรต้องคิดทบทวบให้ดีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง" 

ป.ล. *เจ้าของบล็อกไม่ได้บอกว่า การสักไม่ใช่สิ่งไม่ดีนะ แต่ให้ขึ้นอยู่กับ "วิจารณญาณ"ของตัวเอง
       *โดยส่วนตัวเจ้าของบล็อกเอง ไม่ได้มีรอยสักบนร่างกายและไม่เคยคิดจะสักแต่อย่างใด (ว่าง่ายๆคือกลัวเข็ม --") 
          แต่เจ้าของบล็อกแค่ชื่นชอบในรอยสัก ลายต่างๆ มองดูเป็นศิลปะบนร่างกายที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวบุคคล


วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำความรู้จักการสัก

เมื่อพูดถึงการสักในปัจจุบัน นิยมที่จะเป็นแฟชั่นมากกว่าไปในทางสักยันต์ ซึ่งในทางสักยันต์นึกถึงง่ายๆคือ มีความเชื่อ มีความศรัทธา ต่อศาสนา หรือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่การสักที่เป็นแฟชั่นที่เริ่มฮิตมากขึ้นนั้น อาจมีสาเหตุในหลายด้าน อย่าง การที่ชื่นชอบในงานสักเชิงศิลปะ การชอบรูป ลวดลายนี้ อยากมาเป็นแบบในการสัก การสักไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ก่อนอื่นเราทำความรู้จักกันซะก่อน.. 


การสัก คือการเขียนสีและลวดลายต่างๆ บนร่างกาย ซึ่ง รอยสัก อาจคงอยู่ชั่วคราวหรือถาวร การสักของแต่ละวัฒนธรรมมีความหมายเฉพาะตัวต่างกันไป

รอยสักหรือการสักนั้นมีและเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เริ่มต้นจากที่กรีก การสักเป็นไปทำนองการทำสัญลักษณ์ เฉพาะใบหน้า ต่อมาการสักเริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรป ในช่วงประมาณ ค.ศ. 787 การสักบนใบหน้าถือเป็นการลบหลู่ต่อพระผู้เป็นเจ้า
ในประเทศไทย การสัก หรือ สักเลกนั้น เป็นการทำเครื่องหมายที่ข้อมือ เพื่อแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง นักโทษส่วนใหญ่มักจะถูกสักที่หน้าผาก หรือการสักท้องแขน เพื่อใช้กับผู้ต้องโทษจำคุก แต่ต้องถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2475 รวมทั้งการสักยันต์เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งนั้นๆ อย่างเช่นในตัวบุคคล พระอาจารย์ชื่อดัง
ในญี่ปุ่น การสักเรียกว่า Irezumi ซึ่งมีความหมายว่าการเติมหมึก คาดว่าเริ่มปรากฏในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 การสักจะประทับตาคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งแยกเช่น เพชฌฆาต สัปเหร่อ อาชญากร จนกระทั่งเริ่มมีการสักแบบ Horibari ที่มักจะสักลวดลายต่างๆทั่วร่างกาย และเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ. 1750 โดยนิยมมากในหมู่ Eta ซึ่งเป็นกลุ่มคมฐานะชั้นต่ำที่สุด ลวดลายต่างๆมักเป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจนเทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนา และนิทานพื้นบ้าน ทั้งนี้ในต่อมารอยสักเริ่มมีอิทธิพลต่อแก๊งค์มาเฟีย ที่เรารู้จักกันว่า "ยากูซ่า" นั้น สมาชิกภายในแก๊งค์จะต้องได้รับการสัก หรือมีรอยสักเกือบเต็มทั้งตัว เพื่อแสดงถึงความมีอิทธิพล ความมีอำนาจในการข่มขู่ศัตรู

ประเภทของการสัก

 แฟนตาซี สไตล์ (Fantasy Tattoo) - ผสมหลายรูปแบบ เป็นภาพในจินตนาการ เทพนิยาย

 ไทรบอล สไตล์ (Tribal and Graphic Tattoo) - เป็นลวดลาย เช่นเถาวัลย์ ใบไม้ หรือลายกราฟิก

 ยุโรป สไตล์ (Portrait tattoo) - เป็นภาพเหมือนลงแสงเงา คล้ายกับภาพเหมือนบุคคล

 เจแปน สไตล์ (Japan Tattoo) - มีลวดลายที่บ่งบอกความเป็นตะวันออก เช่น ปลาคาร์พ มังกร

 เวิร์ด สไตล์(Word Tattoo)  - มีตัวอักษรที่มีความหมาย หรือไม่มีความหมายก็ได้ บางทีก็อ่านไม่รู้เรื่องเช่นงานแนวแอมบิแกรม

 ไกเกอร์ สไตล์(Giger Tattoo) - ลวดลายนามธรรม รวมถึงเฉพาะกลุ่มเช่นฮิปฮอป

 พังค์ สไตล์(Old School Tattoo) - ลายสักไม่เน้นสีสัน ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ และ อาจจะเป็นจำพวกตุ๊กตา การ์ตูนต่างๆ

 ฮาร์ดคอร์ สไตล์ (Hard-core Style Tattoo) - ใกล้เคียงกับ พังค์ สไตล์แต่จะมีความเหมือนจริงมากกว่า

 อินดี้ สไตล์  (Indie Tattoo) - ไม่มีแนวทางชัดเจน ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัว

คร่าวๆกันก่อนกับการทำความรู้จัก ประเภท สไตล์ ของการสัก ซึ่งการสักนั้นเป็นเป็นลักษณะเฉพาะของตัวบุคคล ในปัจจุบันเองก็นิยมสร้างสรรค์ให้ออกมาเป็นแรงผลักดันในการนำเสนอให้เป็นศิลปในแง่มุมคิดของยุคสมัยใหม่ และ เสรีภาพการแสดงออกผ่านทางรอยสัก  


Thank for Credit (ข้อมูลอ้างอิง):
  • http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-110701182960292
  • http://th.wikipedia.org/wiki/tattoo