วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การสักความเชื่อหรือค่านิยม และสิ่งที่ตามมาหลังจากการสัก

ครั้งนี้ที่แล้วเราได้ทำความรู้จักกับการสัก ประเภทของรอยสักกันแล้ว ครั้งนี้มาพูดถึงเรื่องค่านิยมของรอยสักกันดีกว่า ซึ่งเป็นต้องทำความเข้าใจกันยาวเลย เราควรจะศึกษา คิด ตระหนักให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไปบนผิวของร่างกาย
พูดถึงการสักสมัยนี้อาจจะดูเป็นแฟชั่นเป็นการแสดงออกที่สื่อให้เห็นออกมาจากทางผิวหนังของร่างกาย แต่เราๆเคยคิดไหมว่ามันจะติดอยู่กับตัวเราไปตลอดชีวิต เกือบ100%คนที่เห็นรอยสักมักจะถูกมองดูแงลบมากกว่าแง่ดี โดยเฉพาะคนที่สักทั้งตัวอาจจะถูกมองว่าเคยถูกต้องโทษติดอยู่ในเรือนจำมาก่อนบ้างครั้งสังคมของไทยเราบ้างครั้งยังไม่เปิดกว้างสำหรับเรื่องการสัก ไม่เหมือนกับต่างชาติที่มองดูเป็นเรื่องของศิลปะ แต่การสักมีควบคู่กับคนไทยมาช้านาน ซึ่งมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ แต่สมัยนั้นจะเป็นการสักเกี่ยวกับด้านคงกระพันชาตรี เพราะสมัยนั้นยังมีศึกสงคราม ที่ต้องการเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ความเชื่อในด้านต่างๆ ที่ว่าฟันแล้วไม่เข้า ทำให้มีพละกำลังมากขึ้น คุ้มครองตนในตอนสู้รบ
สำหรับการสักในประเทศไทยเรานั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1.การสักยันต์อักขระ 2.การสักแฟชั่นทั่วไป 
ซึ่งการสักยันต์อักขระจะเป็นการสักเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าจะทำให้อยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาด ซึ่งรูปแบบการสักจะแตกต่างกันไปตามแต่อักขระยันต์แต่ละชนิด สำหรับการสักชนิดนี้จะมีข้อห้ามต่างๆมากมายเช่น ห้ามกินฟัก ห้ามด่าบิดามารดาเป็นต้น การสักยันต์ประเภทนี้อาจารย์ที่ทำการสักจะเสกคถาลงไประหว่างการสักด้วย จึงทำให้ผู้ที่ถูกสักต้องรักษากฎไว้อย่างเคร่งครัด สำหรับการสักทั่วไปที่ไม่ใช่การสักลงยันต์อักขระส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นที่ยังคึกคนองเห็นเพื่อนสักได้ตัวเองก็ต้องทำให้ได้เหมือนเพื่อนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆมากกว่าที่จะมองเป็นแฟชั่น จะบอกว่าสักได้มากเท่าไรเพื่อนยิ่งยอมรับมากขึ้น ยิ่งดูเท่ เพราะแสดงให้เห็นถึงความกล้าละความอดทนเนื่องจากการสักก็เหมือนกับการที่เราเอามีดมากรีดที่เนื้อตัวเราเป็นเวลานานๆ บอกได้เลยว่าเจ็บจริง แต่ผลที่ตามมาระยะยาวคือเราจะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากคนโดยทั่วไป อย่างเช่น ดูน่ากลัว ดูเป็นคนไม่น่าไว้ใจ (ต้องการหมายถึง ประมาณว่า โหดๆ เถื่อนๆ ทำนองนี้) และหางานทำได้ยากจากประสบการณ์ที่เคยทราบถามจากหัวหน้ารับสมัครเอง(คุณแม่ และคุณน้า เจ้าของบล็อกเอง ที่ทำหน้าทีในการงานการรับสมัคร) จากเจ้าของบริษัทบางแห่ง โดนเฉพาะหน่วยงาน จำพวกข้าราชการ ซึ่งไปสมัครงาน ก่อนสัมภาษงานเขาจะให้ถอดเสื้อเพื่อตรวจดูว่าที่ร่างกายมีรอยสักหรือไม่ จึงเป็นเรื่องลำบากสำหรับคนที่สัก ซึ่งถ้าให้ไปคนที่เคยสักว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ บอกได้เลยว่าไม่อยากสัก 
แต่ถ้าถามว่า เอ๋! ทำไมบางคนที่มีรอยสัก ยังได้รับเข้าทำงานเลย โดยส่วนตัวเจ้าบล็อกคิดว่า อาจจะขึ้นอยู่กับสายงานที่เขาคนนั้น ทำงานอยู่ด้วย อย่างพวกงานด้านนิเทศ งานด้านสายศิลป์ คงไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่พวกทำด้านออฟฟิศ บริษัท (ยกเว้นพวกที่ต้องออกไปพบปะลูกค้านะ มิได้เป็นอันขาด) อาจจะอนุโลมให้ แต่ต้องแต่งกายปกปิดในส่วนของรอยสัก เพื่อความสุภาพ เป็นระเบียบในองค์กร ถ้ากล่าวกันตามตรงคืองานพวกออฟฟิศ บริษัท มีโอกาสน้อยทางเลือกจำกัดต่อผู้ที่มีรอยสัก ทั้งนี้อาจจะพบผู้ที่มีรอยสัก มาทำอาชีพอิสระกันซะส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ ข้อจำกัดอะไรมาก 



สุดท้ายนี้ จึงอยากฝากให้คิดไว้ว่า "ก่อนจะทำการสักอะไรต้องคิดทบทวบให้ดีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง" 

ป.ล. *เจ้าของบล็อกไม่ได้บอกว่า การสักไม่ใช่สิ่งไม่ดีนะ แต่ให้ขึ้นอยู่กับ "วิจารณญาณ"ของตัวเอง
       *โดยส่วนตัวเจ้าของบล็อกเอง ไม่ได้มีรอยสักบนร่างกายและไม่เคยคิดจะสักแต่อย่างใด (ว่าง่ายๆคือกลัวเข็ม --") 
          แต่เจ้าของบล็อกแค่ชื่นชอบในรอยสัก ลายต่างๆ มองดูเป็นศิลปะบนร่างกายที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวบุคคล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น