วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การสักความเชื่อหรือค่านิยม และสิ่งที่ตามมาหลังจากการสัก (2)


มาต่อกันอีกสักนิด กับ บทความที่แล้ว การสักความเชื่อหรือค่านิยม และสิ่งที่ตามมาหลังจากการสัก คราวนี้มาดู สกุ๊ปข่าว มุมมองของต่างประเทศว่า เป็นยังไงบ้าง เกี่ยวกับรอยสัก ซึ่งเจ้าของบล็อกขออนุญาติคัดเนื้อหาบางส่วนมาให้ลองอ่านแล้วมาคิดตามกัน

ด้วยหัวข้อที่ว่า "หนุ่มสาวเอย ! จะบอกให้ คิดให้ดี ก่อนที่จะมีรอยสัก" 

"ค่านิยมการสักบนร่างกายกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในเหล่าบรรดานักร้อง นักแสดง และนักกีฬา กระแสความนิยมการสักลามไปถึงเหล่าวัยรุ่น เพราะได้รับอิทธิพลมาจากดารา นักร้อง นักแสดง หรือนักกีฬาดังๆ จากอเมริกา ยุโรป การสักสร้างความปวดหัวใจให้กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง-ไม่เว้นแม้กระทั่งประธานาธิบดีสหรัฐ คนปัจจุบันประธานาธิบดี บารัค โอบามา ให้สัมภาษณ์รายการทูเดย์ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีเมื่อวันพุธสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าถ้าหากลูกสาววัยรุ่นทั้งสองคนของเขาคือมาเลียวัย14 ปีและซาช่าอายุ 12 ปี มีความคิดที่จะสักขึ้นมา เขากับมิเชลก็จะตามไปสักให้เหมือนกับลูกสาวทุกอย่าง พร้อมทั้งจะโพสต์ลงยูทูบด้วย" "ส่วนพ่อคนดังอีกคนที่มีไอเดียแหวกแนวในการป้องกันไม่ให้ลูกๆ คิดมีรอยสักก็คือ มาร์ก วอลล์เบิร์ก ดาราดังที่อดีตเคยเป็นวัยรุ่นเกเรที่เข้ารับการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ที่เจ้าตัวเองไม่แน่ใจว่ามีอยู่ 6 หรือ 7 แห่ง 
มาร์กพาลูกสาวและลูกชายคนโตเข้าไปดูด้วยเพื่อจะได้รู้พิษสงเวลาลบรอยสักออกว่ามันสุดแสนทรมานขนาดไหน"
จากที่คัดมานั้น คนดังทั้งสอง เล็งเห็นว่า การสักในปัจจุบันมันเป็นที่นิยมอย่างมาก ยิ่งเห็นได้จากบุคคลที่วัยรุ่นชื่นชอบ นักร้อง นักแสดง นักกีฬา จึงทำให้มีกระแสความนิยมในการสัก มีอิทธิพลอย่างมากในหมู่วัยรุ่น จึงออกมาแสดงให้ลูกๆเห็นว่า การสักไม่เรื่องแฟชั่นนะ ไม่ใช่ตัดสินใจได้ภายในเดี๋ยวนั้น อยากให้คิดถึงผลระยะยาวของการมีรอยสักนั้น ในอนาคต

"แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นแฟชั่นในหมู่เด็กวัยรุ่น เพราะแสดงให้เห็นถึงความเท่ ความโก้เก๋ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพ่อแม่ไปซะทุกเรื่อง เพราะคนดังในวงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมากมายก็ล้วนแต่สักกันทั้งนั้น
นักกีฬาหลายคนบอกว่ารอยสักเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเวลาลงแข่งขัน อย่างเช่นนักกีฬาโอลิมปิกนิยมสักรูปห่วง 5 ห่วง สัญลักษณ์ของโอลิมปิก นักบาสเกตบอลนิยมสักหน้าลูกๆ ของตัว บทคำสอนศาสนา หรือคำคมในการดำเนินชีวิต" 


"นักบาสเกตบอลดังๆ ในเอ็นบีเอถือเป็นกลุ่มนักกีฬาที่นิยมการสักมากกว่านักกีฬาประเภทอื่น ความฮิตเรื่องการสักนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 1990
กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของนักบาสเกตบอลเอ็นบีเอ ผ่านการสักมาทั้งนั้น 
ทีมไมอามี่ ฮีต ซึ่งกำลังแข่งขัน NBA เพลย์ออฟอยู่ตอนนี้ นักบาสเกตบอล 11 คน จาก 15 คน สักมาแล้วทั้งสิ้น
แต่นักบาสเกตบอลดังๆ ที่ไม่นิยมชมชอบการสักก็มี เช่น ดเวน เวด ดไวต์ ฮาวเวิร์ด คริส พอล สตีฟ แนช เดิร์ก โนวิตสกี้ เรย์ อัลเลน แกร๊นต์ ฮิลล์ และ เจเรมี่ หลิน (หรือถ้าหากแอบมีก็คงมีในร่มผ้าซึ่งไม่มีใครเคยได้เห็น)
ดเวน เวด การ์ดของ ไมอามี่ ฮีต ไม่ยอมสัก ทั้งๆ ที่ เลอบรอน เจมส์ เพื่อนรักของเขามีสักเต็มตัว 
ดเวนบอกถึงสาเหตุที่ห้ามใจตัวเองไม่ยอมสักเหมือนเพื่อนรักและเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ว่าตั้งแต่เป็นเด็กพ่อแม่สั่งสอนมาตลอดว่าห้ามสัก ห้ามเจาะหู แต่พอเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 1 เขาบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่จะแหกกฎของพ่อแม่เพราะตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น ดเวนจึงเริ่มด้วยการเจาะหู และตั้งใจว่าจะตามมาด้วยการสัก 
เขาเดินเข้าไปในร้านสัก แต่พอเข้าร้านสักปุ๊บ ดเวนตัดสินใจเดินออกเดี๋ยวนั้นทันที เพราะได้คิดว่าการที่ตัวเองอยากจะมีรอยสักอย่างคนอื่นเพียงเพื่อต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าเขาเองเป็นผู้ใหญ่แล้วมันเป็นเหตุผลที่น้อยเกินไป  พอคิดได้อย่างนี้ดเวนก็รู้สึกว่าการสักไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ

นักบาสเกตบอลคนอื่นๆใน NBA ที่ไม่ยอมสักแม้จะถูกเพื่อนๆ ในทีมที่สักแล้วทั้งกดดันและคะยั้นคะยอว่าควรจะสักได้แล้ว ต่างก็มีเหตุผลที่ไม่ยอมสัก เช่น ต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ไม่อยากให้ลูกโตขึ้นแล้วอยากมีรอยสักตามพ่อ" 


จากที่ได้อ่านมาถ้าลองมาคิดดูแล้ว การที่ตัดสินใจที่ไม่สัก ถึงจะถูกกดดันก็ตาม เนื่องด้วย ต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก หรือ ไม่อยากให้มีรอยสักตามเขา เป็นเหตุผลที่ดี ทั้งนี้แล้ว เมื่ออายุมากขึ้น เราอาจจะต้องเสียทั้งเวลาและเงิน แถมเจ็บตัวในการลบรอยสักที่เราไม่คิดอยากจะมีแล้วเมื่อสาย

หลังจากที่ได้อ่านสกุ๊ปข่าวนี้แล้ว ทั้งไทยและต่างประเทศต่างก็มีความคิดที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ในค่านิยมในการสัก เนื่องด้วยการสักนั้น ถึงแม้ปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่การสักแฟชั่นนั้นเป็นอิทธิพลที่น่าเป็นห่วง เนื่องด้วยอาจจะตัดสินใจแบบพลั้งเผลอ แต่เมื่อไม่อยากมีมันก็สายไปเสียแล้วล่ะ 

Thank for Credit : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1368349626&grpid=01&catid=01

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น